Biscotti Kids,Learning 5 สัญญาณบ่งบอกว่าลูกของคุณเติบโตขึ้น

5 สัญญาณบ่งบอกว่าลูกของคุณเติบโตขึ้น

เพียงคุณกะพริบตาลูกน้อยของคุณก็เติบโตขึ้น ดังคำกล่าวที่ว่าเด็กมักจะเติบโตโดยที่เราไม่รู้ตัว คุณจะตอบสนองต่อความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปของพวกเขาอย่างไร และการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่จากทารกเป็นเด็กวัยหัดเดินคืออะไร? ต่อไปนี้เป็นสัญญาณ 5 ข้อที่บ่งบอกว่าลูกน้อยของคุณไม่ใช่ทารกอีกต่อไป

5 สัญญาณที่เด็กเปลี่ยนจากทารกมาเป็นวัยหัดเดิน

1. วันเกิดปีแรก

เด็กอายุระหว่าง 1 ถึง 3 ปีถือเป็นเด็กวัยหัดเดิน หากลูกน้อยของคุณฉลองวันเกิดครบ 1 ขวบ พวกเขาจะได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นเด็กวัยหัดเดินโดยอัตโนมัติ พวกเขาจะกลายเป็นเด็กก่อนวัยเรียนหรือเด็กอายุ 3 ถึง 5 ปี

2. วัยหัดเดิน

คุณรู้หรือไม่ว่าทำไมพวกเขาถึงถูกเรียกว่า “เด็กวัยหัดเดิน” เนื่องจากการเคลื่อนไหวที่ไม่พร้อมเพรียงกันของขาทั้งสอง ทำให้พวกเขากำลังเรียนรู้ที่จะเดินเตาะแตะ เด็กวัยเตาะแตะจะฝึกทักษะการเคลื่อนไหวโดยรวมที่ซับซ้อนมากขึ้น เช่น การกระโดด การปีน การนั่งยอง และการขว้างลูกบอล

3. คุณจะได้ยินคำว่า “ไม่” มากมาย

ลูกน้อยของคุณเคยมีความสุขในการสวมใส่สิ่งที่คุณเลือก กินสิ่งที่คุณให้ทาน หรือทำในสิ่งที่คุณต้องการอย่างง่ายดาย แต่ทางเลือกสำหรับเด็กในช่วงพัฒนาการนี้คือ “ไม่” และพวกเขาจะเรียนรู้ที่จะปฏิเสธ เมื่อเด็ก ๆ เริ่มตระหนักว่าตนเองมีความชอบของตัวเอง พวกเขาเรียนรู้ว่าบางครั้งการพูดว่า “ไม่” หมายความว่าพวกเขาได้สิ่งที่ต้องการมากขึ้น

4. พวกเขาจะเริ่มใช้ท่าทางมือ

การโบกมือ ปรบมือ และชี้ไปที่วัตถุเป็นวิธีสื่อสารกับคุณ ลูกวัยเตาะแตะของคุณอาจยังไม่สามารถพูดได้ว่าต้องการอะไร แต่กำลังเรียนรู้ว่าหากชี้ไปที่บางสิ่งพวกเขาจะได้ในสิ่งที่ต้องการ

5. พวกเขาไม่ต้องการให้คุณช่วย

พวกเขาจะเริ่มต้องการใส่รองเท้าด้วยตัวเอง เลือกเสื้อผ้าของตัวเอง แปรงฟัน และพกตุ๊กตาของตัวเองไปที่ห้องนั่งเล่น และพวกเขาไม่ต้องการความช่วยเหลือจากคุณเลย ซึ่งการเรียนรู้วิธีการดูแลตัวเองเป็นก้าวสำคัญของการพัฒนา

แม้ว่าการที่ลูก ๆ ของคุณจะเริ่มมีความต้องการของตัวเอง รู้ว่าตัวเองอยากได้อะไร ต้องการอิสระ และเริ่มซุกซนจะดูเป็นเรื่องน่าใจหาย แต่นั่นเป็นสัญญาณที่ดีที่บอกว่า เด็ก ๆ พร้อมแล้วที่จะเติบโตไปอีกขั้น และเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ มากขึ้น การเฝ้าดูพัฒนาของลูกก็เป็นอีกหนึ่งงานอดิเรกที่น่าสนุก และเป็นเพียงช่วงเวลาสั้น ๆ เท่านั้น ดังนั้นคุณควรที่จะซึมซับความทรงจำเหล่านั้นเอาไว้ เช่น การถ่ายรูป ถ่ายวิดีโอ หรือกอดลูกบ่อย ๆ 

Related Post

รับผลิตของพรีเมี่ยมอย่างไรให้ถูกใจลูกค้ารับผลิตของพรีเมี่ยมอย่างไรให้ถูกใจลูกค้า

ปัจจุบันมีบริษัทหรือเจ้าของกิจการมากมายที่หันมาให้ความสนใจและเริ่มทำธุรกิจเกี่ยวกับการรับผลิตของพรี่เมี่ยม เพราะการรับผลิตของพรีเมี่ยมนี้เรียกได้ว่าเป็นม้ามืดของวงการการตลาดที่หลายคนไม่ควรมองข้ามเลย โดยเฉพาะหากเป็นเจ้าของธุรกิจแล้วด้วย  ในการรับผลิตของพรีเมี่ยมเพื่อให้ถูกใจลูกค้านั้น สิ่งที่ควรคำนึงถึงมากที่สุดไม่ใช่การสร้างเว็บไซต์สวยงานเพื่อให้ดึงดุดลุกค้าเพียงอย่างเดียว แต่รวมไปถึงการบริการหรือการเลือกวัสดุและอื่นๆ อีกมากมาย โดยในบทความนี้เราจะพาคุณไปสำรวจวิธีการหรือเคล้ดลับเล็กน้อยสำหรับการรับผลิตของพรีเมี่ยมที่จะถูกใจลุกค้าอย่างแน่นอน  ด้วยการปฏิบัติตามขั้นตอนเหล่านี้และมุ่งมั่นที่จะมอบคุณภาพที่ยอดเยี่ยมและประสบการณ์แก่ลูกค้า คุณก็จะสามารถเริ่มต้นธุรกิจการรับผลิตของพรีเมียมที่ประสบความสำเร็จซึ่งสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าและสร้างชื่อเสียงที่แข็งแกร่งในอุตสาหกรรมได้อย่างแน่นอน

การเสริมสร้างทักษะด้านต่างๆ

การเสริมสร้างทักษะด้านต่างๆให้กับเด็กเล็กเป็นเรื่องที่ดีอย่างไรการเสริมสร้างทักษะด้านต่างๆให้กับเด็กเล็กเป็นเรื่องที่ดีอย่างไร

ในปัจจุบันนี้เรื่องของการเสริมสร้างทักษะให้กับเด็กเล็กนั้นต้องบอกเลยว่าเป็นเรื่องหนึ่งที่สำคัญอย่างมากมายเลยเพราะว่าในเรื่องของการที่เรานั้นได้เสริมสร้างทักษะให้กับเด็กเล็กก็เพื่อที่จะช่วยทำให้เด็กเล็กนั้นได้สามารถที่จะทำกิจกรรมต่างๆได้ดียิ่งขึ้นด้วยและที่สำคัญในเรื่องของการที่เราได้รู้จักที่จะเสริมสร้างทักษะต่างๆให้กับตัวเด็กเล็กแล้วนั้นก็จะส่งผลที่ดียิ่งขึ้นด้วย ทุกๆอย่างในตอนนี้การที่เราได้ใส่ในเรื่องของการเสริมทักษะนั้นก็เพื่อที่จะช่วยทำให้เราได้เห็นถึงพัฒนาการที่เปลี่ยนแปลงไปของเด็กเล็กด้วยและเรื่องนี้จึงเป็นเรื่องที่ดีและสำคัญอย่างมากมายเลยที่เราก็จะต้องอย่ามองข้ามผ่านดังนั้นในเรื่องของการเสริมสร้างทักษะสำหรับเด็กเล็กก็จะทำให้เรายิ่งมีความสุขที่ได้เห็นเด็กมีพัฒนาการที่ดีอย่างมากมายเลย เรื่องของการเสริมสร้างทักษะต่างๆนั้นก็จัดว่าเป็นเรื่องที่เราเองก็จะต้องอย่าละเลยหรือมองข้ามไปเลยดังนั้นเรื่องของการเสริมสร้างทักษะต่างๆให้กับเด็กไม่ว่าจะเป็นการระบายสี การวาดรูปต่างๆหรือการประดิษฐ์สิ่งของหรือชิ้นงานก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีกับเราเองอย่างที่สุดด้วยเพราะเราก็จะได้ค่อยๆสอนให้เค้าได้ตั้งใจที่จะทำเพราะช่วงเวลานี้จะทำให้เด็กมีสมาธิมากขึ้นด้วย ทุกๆอย่างในตอนนี้สามารถที่จะนำมาให้เด็กได้มีทักษะที่ดีในด้านต่างๆได้มากยิ่งขึ้นด้วยและเรื่องของเด็กเล็กนั้นก็เป็นเรื่องที่เราเองก็จะต้องอย่ามองข้ามไปเลยจึงจะส่งผลที่ดีอย่างมากมายด้วยและหากเราได้รู้จักที่จะให้ความสนใจกับเรื่องของเด็กเล็กแล้วนั้นก็จะทำให้เราได้เห็นพัฒนาการที่เติบโตของเด็กยิ่งขึ้นอีกด้วย หลากหลายอย่างในตอนนี้จึงจัดว่าเป็นเรื่องที่เราเองก็ควรที่จะต้องให้ความสนใจและคำนึงถึงให้มากที่สุดเพราะอย่างน้อยในเรื่องของงการเสริมสร้างทักษะนั้นก็จะทำให้เด็กมีไหวพริบที่ดีได้อีกด้วย เรื่องของเด็กเล็กก็มีความละเอียดอ่อนกันอย่างมากมายเลยดังนั้นเราจึงควรที่จะต้องอย่ามองข้ามไปเลยในเรื่องของเด็กเล็กจึงจะส่งผลที่ดีอย่างมากมายที่สุดด้วย และนอกจากนี้หากเราได้รู้จักที่จะให้ความสนใจกับเรื่องของเด็กเล็กแล้วก็จะไม่ทำให้เราเกิดเรื่องที่กังวลใจได้เลยเพราะการที่เรายื่นความรู้ให้ก็มักจะทำให้เด็กได้จดจำไวและมีพัฒนาการที่ดีมากยิ่งขึ้นอีกด้วย เรื่องนี้จึงเป็นเรื่องหนึ่งที่ดีและสำคัญกับเราเองอย่างมากมายที่สุดเลย

เรื่องที่คุณอาจไม่รู้เกี่ยวกับหมอเด็กเรื่องที่คุณอาจไม่รู้เกี่ยวกับหมอเด็ก

เมื่อเอ่ยถึงหมอเด็ก เชื่อได้เลยว่าคุณพ่อคุณแม่ส่วนใหญ่ก็คงจะคุ้นหูกันเป็นอย่างดี ส่วนหนึ่งก็เนื่องจากว่าแพทย์เด็กจะช่วยในการรักษาโรคของลูกน้อย ซึ่งโดยปกติแล้วเมื่อลูกน้อยเจ็บป่วยขึ้นมา ปัญหาที่เกิดขึ้นสำหรับพ่อแม่ได้แก่ การที่ไม่รู้ว่าลูกน้อยป่วยด้วยโรคใดกันแน่ อย่างไรก็ดีเชื่อว่าหลายๆ คนอาจจะยังไม่รู้จักกับแพทย์เด็ก วันนี้มีสาระน่ารู้เกี่ยวกับหมอเด็กมาดูพร้อมกัน  บุคลิกของหมอเด็ก  1.มีความละเอียดอ่อน  เนื่องจากว่าเด็กๆ เป็นวัยที่ภูมิต้านทานของโรคน้อย นอกจากนี้ยังไม่สามารถเข้าใจถึงการสื่อสารถึงความเจ็บปวดของตนเองได้ กุมารแพทย์จึงต้องเป็นคนที่มีความละเอียดอ่อน มีความอดทนสูง พึงระลึกไว้เสมอว่าโรคบางโรคของเด็กแตกต่างจากผู้ใหญ่ ซึ่งอาจทำให้การวินิจฉัยแตกต่างกัน การมีความละเอียดลออในการตรวจรักษาโรคจึงถือเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง นอกจากนี้กุมารแพทย์ยังอาจต้องมีความเข้าใจถึงอาการเจ็บป่วยของเด็กให้มากขึ้นอีกด้วย  2.มีความอดทน  สำหรับความอดทนถือเป็นคุณสมบัติที่เด่นไม่แพ้กันในการจะเป็นกุมารแพทย์ เนื่องจากว่ากุมารแพทย์ถือเป็นบุคคลที่ต้องคอยตรวจโรคให้กับเด็กเล็กๆ เวลาที่เด็กๆ เหล่านี้ร้องไห้โยเย กุมารแพทย์จะเป็นผู้ตรวจวินิจฉัย ซึ่งเมื่อเด็กร้องไห้ก็ต้องหยุดตรวจไปชั่วขณะ ไม่สามารถตรวจได้ กุมารแพทย์จะต้องมีลูกล่อลูกชนสำหรับการค้นหาวิธีการในการหยุดการร้องไห้ของเด็กได้  3.มีความเข้าใจในกลวิธีการรักษา